HMPRO ไตรมาส 2 โชว์กำไร 1,619 ล้านบาท โต 6.57% เผยเปิดสาขาใหม่ 3 แห่ง
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยผลดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,619.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 18,902.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยส่งผลให้รวม 6 เดือนแรกของปี 66 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,230.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินค้า และให้บริการลูกค้า อยู่ที่ 17,788.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.01% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการบริโภคในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นในบางภูมิภาค รวมถึงยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตในกลุ่มของเครื่องทำความเย็นต่าง ๆ สูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงหน้าร้อนของไทย
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีรายได้ค่าเช่า 463.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้อื่นอยู่ที่ 650.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและให้บริการลูกค้า เท่ากับ 4,679.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
HMPRO โชว์กำไร 6,217 ล้านบาท โต 14.27% ปันผล 0.21 บาท
HMPRO กำไรสุทธิไตรมาสแรกเพิ่ม 6.63% จากเศรษฐกิจฟื้น-ช้อปดีมีคืน คำพูดจาก เว็บสล็อตเว็บตรง
สำหรับการขยายสาขา ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มีการเปิดสาขาเมกาโฮมใหม่ 3 สาขา ได้แก่ สาขานครปฐม เชียงใหม่ และบางแสน รวมถึงการปิดโฮมโปรที่สาขาโลตัสบางแค เพื่อเตรียมเปิดสาขาใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ในพื้นที่ใกล้เคียง ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมีโฮมโปรจำนวน 89 สาขา คือ โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 24 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา
ล่าสุดหุ้น HMPRO ณ วันที่ 25 ก.ค. 66 ก่อนเปิดตลาดราคาอยู่ที่ 14.1 บาทต่อหุ้น โดยมูลค่าปรับเพิ่มขึ้นมาราว 2.9% ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
ด้านบริษัทหลักหรัพย์ เอเซียพลัส ระบุว่า HMPRO กำไรในงวดไตรมาส 2 ปี66 ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ที่ 1.6 พันล้านบาท และมีรายได้เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บวกกับมีมาร์จิ้นสูงขึ้น แต่กลับถูกหักล้างไปบางส่วนจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น จากการใช้งบการตลาดที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาใหม่ และค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
โดยยังคงประมาณการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 66-67 ไว้ที่ 6.4 พันล้านบาท (+3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ 7.1 พันล้านบาท (+10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) ตามลำดับ รวมทั้งคงราคาเป้าหมายสำหรับปี 66 ที่ 15.75 บาท เนื่องจากคาดกำไรมีแนวโน้มชะลอตัวในไตรมาส 3 ปี 66 ซึ่งเป็นฤดูฝน ทำให้งานก่อสร้างซ่อมแซม และการซื้อของตกแต่งบ้านอาจสะดุดลง
ทั้งนี้หวังการฟื้นตัวของกำไรได้ในงวดไตรมาส 4 ปี 66 ที่จะเป็นจุดสุงสุดของปี อาจทำให้กำไรปี 66 อาจมี upside ได้เล็กน้อยราว 2-3% จากประมาณการของฝ่ายวิจัยฯ อย่างไรก็ตามมองว่ายังไม่มีปัจจัยใหม่มาหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม :คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2566